วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โมบายสร้อยคอ

สร้อยคอดอกไม้แสนสวย สำหรับเด็ก

รูป 1 สร้อยคอดอกไม้แสนสวย สำหรับเด็ก
ถาม
ค้นหา
ประดิษฐ์สร้อยคอแสนสวย จากดอกไม้ หลอดดูด

อุปกรณ์

  • ดอกไม้ประดิษฐ์
  • หลอดดูด
  • กรรไกร
  • เชือก
  • เข็มกับด้าย

วิธีทำ

  1. ตัดรูปดอกไม้หลายๆดอก เจาะรูตรงกลาง สำหรับร้อยเชือก
  2. หลอดดูด สีเดียวกับดอกไม้ ตัดเป็นท่อนๆ
  3. นำเชือกร้อยเข็ม นำมาร้อยดอกไม้กับหลอดกาแฟ แบบสลับกัน (จนได้ความยาวตามต้องการ)
นำไปใส่สวยๆ สำหรับเด็กในวันงานกิจกรรมได้ค่ะ
ลิงก์ผู้สนับสนุน
รูป 2 สร้อยคอดอกไม้แสนสวย สำหรับเด็กรูป 3 สร้อยคอดอกไม้แสนสวย สำหรับเด็กรูป 4 สร้อยคอดอกไม้แสนสวย สำหรับเด็กรูป 5 สร้อยคอดอกไม้แสนสวย สำหรับเด็กรูป 6 สร้อยคอดอกไม้แสนสวย สำหรับเด็กรูป 7 สร้อยคอดอกไม้แสนสวย สำหรับเด็ก

คำคมสอนใจ

คําคมสอนใจ รวมเอา คําคมสอนใจ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคําคมของบุคคลสำคัญๆ ธรรมะ และคําคมสอนใจโดยทั่วๆไป ได้รวบรวมมาเพื่อไว้เป็นคติ บทเรียนชีวิต ในการดำเนินชีวิต รวมถึง คำสอนที่มาในรูปแบบคําคม เพื่อให้ทุกท่านได้คิด รวมทั้งคําคมสอนใจ ในการมุมานะ ทำงาน สร้างชีวิต ของตนเองให้ได้ดียิ่งๆขึ้นไป คําคมสอนใจ เหล่านี้ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ แก่ทุกๆท่าน เป็นอย่างดี

  • ถ้าท่าน ไปตรงๆไม่ได้  ก็จงไป 'ทางอ้อม' และถ้าท่านไปข้างบนไม่ได้  ก็จงไปข้างล่าง อย่ายอมแพ้ง่ายๆ  เป็นอันขาด
  • ถ้าอยากจะ "ประสบความสำเร็จ" ต้องกล้าที่จะ "เปลี่ยนแปลง" ตัวเอง
  • ทางข้างหน้า 'ลางเลือน' เหมือนว่างเปล่า แดดจะเผาผิวผ่อง เธอหมองไหม้ ที่ตรงนั้นมีหุบเหว มีเปลวไฟ ถ้าอ่อนแอจะฝ่าไป อย่างไรกัน
  • จงฟังความรู้สึกของผู้พูด ไม่ใช่ 'คำพูด'
  • จุดที่ต่ำสุดของ 'ชีวิต' ที่ทุกคนมีโอกาส 'ประสบ'  ..เป็นได้ทั้ง 'จุดจบ' และ 'บทเรียน' ที่ดี
  • คนเราจะไม่ต้องใช้สมองเลย ถ้าพูดแต่ 'ความจริง'
  • ยิ่งบทเรียนยากขึ้น 'เท่าไหร่' ถ้าเราผ่านมันไปได้เราก็จะยิ่ง 'เก่งขึ้น' เท่านั้น
  • ถ้าคุณไม่ลอง 'ก้าว' จะไม่มีวันรู้เลยว่า 'ข้างหน้า' เป็นอย่างไร
  • อย่ากังวลกับสิ่ง ที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้ คำนึงถึง สิ่งที่ 'กำลังทำ'
  • หนทางยาวไกลนับ 'หมื่นลี้' ต้องเริ่มต้นด้วย 'ก้าวแรก' ก่อนเสมอ
คําคมสอนใจ


  • เหตุผลของ 'คนๆหนึ่ง'  อาจจะไม่ใช่เหตุผลของ 'คนอีกคนหนึ่ง'
  • แม้แต่นิ้วของคนเรายังยาว 'ไม่เท่ากัน' นับประสาอะไรกับ 'ความยั่งยืนของชีวิต'
  • ทุกคนได้ยินในสิ่งที่ 'คุณพูด'  แต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะได้ยินแม้ในสิ่งที่คุณ 'ไม่ได้พูด'
  • ทุก 'หนึ่งนาที' ที่คุณใช้ไปในการ 'วางแผน' จะประหยัดเวลาได้อย่างน้อย 'สามนาที' ในการปฎิบัติตามแผน
  • ถ้าคุณ ไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้เลยว่า ข้างหน้า เป็นอย่างไร
คําคมสอนใจ
คําคมสอนใจ

  • คนเรา เจ็บปวดครั้งแรก พอที่จะโทษคนอื่นได้  .. แต่เจ็บปวด ครั้งที่สอง มีแต่ "ต้องโทษตัวเอง"
  • ท้อแท้ได้ แต่อย่า "ท้อถอย"  ..อิจฉาได้แต่อย่า "ริษยา" พักได้แต่ "อย่าหยุด"
  • เพื่ออะไร 'กับการรอคอย' ที่ 'ไม่มีความหมาย'
  • เมื่อวาน 'ก็สายเกินแก้' พรุ่งนี้ 'ก็สายเกินไป'
  • แม้แต่นิ้วของคนเรา 'ยังยาวไม่เท่ากัน' นับประสาอะไรกับ 'ความยั่งยืนของชีวิต'
  • โลกใบนี้เต็มไปด้วย "ความมหัศจรรย์" ถ้าไม่ออกเดินทางก็ "ไม่มีวันค้นพบ"
  • ตึก ยังรู้พัง 'สตางค์' ยังรู้หมด แต่ 'ไมตรี' อันสวยสดไม่มีหมดเหมือนสตางค์
  • บางครั้ง เราก็เหมือน "คนตาบอด"  มีวิธีเดียวที่จะพาเรามุ่งหน้าไปได้ คือ "การคลำทางเดินหน้าต่อไป"
  • บางสิ่งของชีวิต "ไม่จำเป็นต้องจำ" ถ้ามันทำให้เจ็บ, แต่บางสิ่งก็ควรจะเก็บ "ถ้ามันเป็นความเจ็บที่น่าจำ"
  • คนฉลาด เรียนรู้จาก "ความผิดพลาดของผู้อื่น"
    คนโง่ เรียนรู้จาก     "ความผิดพลาดของตัวเอง"
  • หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่า
    "ปัญหานั้นเล็กนิดเดียว"
  • เราน่าจะ "เปลี่ยนปัญหากันได้" เพราะเรามักจะ "แก้ปัญหาของผู้อื่นได้"
  • อย่าเกลียด "น้ำตา" เพราะมันคือ "เพื่อนแท้",อย่าเกลียด "ความอ่อนแอ" เพียงเพราะมันไม่ใช่ "ความเข้มแข็ง"
  • มีแต่วันนี้ "ที่มีค่า"ไม่มีวันหน้า วันหลัง
คําคมสอนใจ
คําคมสอนใจ


  • ที่ที่ดีที่สุดที่จะพบ "มือที่พร้อมจะช่วยเหลือ คุณ"
    คือ ที่สุด "ปลายแขนของคุณเอง"
  • มีเพียงชีวิตที่ทำ "เพื่อคนอื่นเท่านั้น"ที่ควรค่าแก่การ "มีชีวิต"
  • ความเหงาเป็น "เพื่อนแท้" 
    อ่อนแอเป็น "เพื่อนเก่า"
    ความเงียบก็ "เพื่อนเรา"
    ใจบางเบาคือ "เพื่อนตาย"
  • ความเห็นอกเห็นใจ 
    คือ "กฎสำคัญ" ของ "ชีวิตมนุษย์"
  • คนที่ว่าคนอื่น "โง่" บุคคลนั้น "โง่ยิ่งกว่า"
    คนที่ว่าคนอื่น "ฉลาด" บุคคลนั้นคือ "ผู้ฉลาดอย่างแท้จริง"
  • ความโศรกเศร้า สามารถเยียวยาตัวเองได้ "โดยลำพัง"
    แต่การจะได้รับ ความเบิกบาน อย่างเต็มเปี่ยม
    จำเป็นต้องมี "ใครสักคน" มาแบ่งปัน
  • ทุกสิ่งในชีวิต โดยพื้นฐานแล้ว คือ "ของขวัญ"
    จงกางมือรับ "สิ่งนั้น" และ "ถือไว้"

เกาะตะปู

เกาะตาปู เป็นเขาหินปูน (Limestone) มีอายุยุคเพอร์เมียน (Permian) หรือประมาณ 295-250 ล้านปี เนื่องจากหินปูนมีคุณสมบัติสึกกร่อนจากการละลายน้ำได้ง่าย ดังนั้นเกาะต่าง ๆ ในบริเวณอ่าวพังงาจึงมีรูปร่างแปลก ๆ และมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการผุพังทำลายของเนื้อหิน
กำเนิดของเกาะตะปูมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลสมัยโบราณ เดิมเกาะตะปูและเกาะเขาพิงกันด้านตะวันออกมีสภาพเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกัน และอยู่บนผืนแผ่นดิน การเคลื่อนไหวของเปลือกโลกในเวลาต่อมา ทำให้เกิดมีรอยเลื่อนใหญ่เป็นแนวยาวพาดผ่านพื้นที่อ่าวพังงาด้านตะวันตก เรียกว่ารอยเลื่อนคลองมะรุ่ย รอยเลื่อนนี้ทำให้เกิดรอยเลื่อนย่อย ๆ ติดตามมาดังจะเห็นได้จากรอยเลื่อนที่เขาพิงกัน รอยเลื่อน รอยแตก และรอยแยกที่พบในหินปูนเกาะตะปู นอกจากนั้น รอยเลื่อนยังทำให้เกิดการหักพังของหินขึ้นในบริเวณรอยต่อระหว่างเขาตะปูและเขาพิงกันทางด้านตะวันออก ทำให้เขาตะปูแยกออกมาเป็นเขาลูกโดด
แผ่นดินเขาตะปูและเขาพิงกันได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเลที่แผ่ขยายเข้ามาท่วมในช่วงหลังสุดเมื่อประมาณ 10,000 ปีที่ผ่านมา ทำให้พื้นที่เขาพิงกัน และเขาตะปูมีสภาพเป็นเกาะ โดยบริเวณเขาตะปูเป็นหัวแหลมยื่นออกไปในทะเล ต่อมาหัวแหลมถูกคลื่นกัดเซาะและขัดเกลา จนกระทั่งมีรูปทรงเรียวและขาดออกจากตัวเขาพิงกันตะวันออกอย่างเด่นชัด มีสภาพเป็นเกาะหินโด่ง
น้ำทะเลที่ขึ้นสูงสุดเมื่อประมาณ 6,000 ปีที่ผ่านมา มีระดับสูงกว่าระดับปัจจุบันประมาณ 4 เมตร การขึ้นลงของน้ำทะเล ได้กัดเซาะเกาะตะปูให้เกิดเป็นแนวรอยน้ำเซาะหิน เว้าเข้าไปที่ระดับดังกล่าว ต่อมาน้ำทะเลลดระดับลงมาอยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 2.5 เมตร จากระดับน้ำทะเลปัจจุบัน ระดับน้ำทะเลใหม่ได้กัดเซาะส่วนล่างของเกาะตะปูให้เกิดเป็นรอยน้ำเซาะหินแนวใหม่ คือ ระดับที่เป็นส่วนคอดกิ่วที่สุด และเป็นบริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตเช่น หอยเพรียง เกาะอาศัยอยู่โดยรอบเมื่อได้นำซากหอยนางรมที่ติดอยู่ในแนวรอยกัดเซาะนี้ไปหาอายุโดยวิธีคาร์บอนรังสี (C14) ได้อายุประมาณ 2,620 + 50 ปี แสดงว่ารอยคอดกิ่วนี้เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลเมื่อเวลาประมาณ 2,500 ปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นน้ำทะเลจึงลดระดับลงมาอยู่ที่ระดับปัจจุบัน ส่วนที่คอดกิ่วที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 ปีที่ผ่านมานี้เอง ทำให้เกาะตะปูมีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศ
เกาะตะปูมีปัญหาการพังทลาย อันเกิดจากการกัดเซาะกัดเซาะของน้ำทะเล การขุดเจาะเนื้อหินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์จำพวกหอยนางรม เพรียงปู ฯลฯ ความแรงของคลื่นลมในฤดูมรสุม การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของโลก เนื่องจากปฏิกิริยาเรือนกระจกอันอาจมีผลให้คลื่นลมเปลี่ยนความเร็ว และสุดท้ายคือการ ถูกรบกวนด้วยกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การจอดเรือโดยการทิ้งสมอการผูกเรือไว้รอบเกาะ รวมทั้งคลื่นจากเรือหางยาวที่วิ่งรอบเกาะ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

เกาะช้าง

                                                 เกาะช้าง

เกาะช้าง หรือ อุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะช้าง

เกาะช้าง เป็นเกาะที่ใหญ่สมชื่อจริงๆ เกาะช้างมีพื้นที่กว่า 268,125 ไร่ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะทะเลอ่าวไทยและใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากภูเก็ต เกาะช้างที่ผมพูดถึงคือ เกาะช้าง เกาะช้าง ตั้งอยู่ในเขตแหลมงอบ จ.ตราด นะครับ ไม่ใช่ เกาะช้างที่อยู่ทะเลอันดามัน จ.ระนอง (ระวังจะสับสน)
เกาะช้าง ประกอบด้วย 8 หมู่บ้าน คือ สลักเพชร สลักคอก เจ้กแบ้ บ้านด่านใหม่ คลองสน คลองพร้าว คลองนนทรี และบ้านบางเบ้า มีสถาที่ราชการ อำเภอ สถานีตำรวจ โรงพยาบาล และเป็นที่ตั้งอุทยานฯหมู่เกาะช้างอีกด้วย ภายในเกาะจะเป็นสวนยางพารา และผลไม้
 สถานที่ท่องเที่ยวท่องเที่ยวท่องเที่ยว
 เกาะช้าง 
ท่องเที่ยว
ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเขาสูงมีผาหินสลับซับซ้อน ยอดเขาที่สูงที่สุด ได้แก่เขาสลักเพชร มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบเขา ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เกิดน้ำตก ลำธารหลายสาย ชายหาดสวย มีอยู่มากมาย ตามชายฝั่งตะวันตก ที่ดังๆ หน่อยก็ได้แก่ หาดทรายขาว หาดคลองพร้าว หาดไก่แบ้ ทั้งสามหาดมี รีสอร์ทตั้งอยู่เรียงรายริมหาดมากมาย ตั้งแต่ ราคา หลังละ 200 กว่า บาท ถึง 5,000 บาท ขึ้นไป นอกจากนี้บริเวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ยังมีเกาะเล็กๆ รายล้อม อันได้แก่ เกาะคลุ้ม เกาะเหลายา เกาะง่าม เกาะไม้ชี้ใหญ่ เกาะหวาย เกาะกระ เการัง เกาะมันนอก เกาะมันใน เกาะกระดาด เกาะหมาก เกาะขาม ฯลฯ ส่วนใหญ่ช่วงเทศกาล เกาะเล็กเกาะน้อยเหล่านี้มัก เสนอแต่แพคเก็จทัวร์ ปัจจุบันมีทัวร์รูปแบบต่างๆ มากมายนอกจากการเล่นน้ำทะเลเที่ยวเกาะ เช่น ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ขี่ช้างท่องไพร ล่องเรือ ตกปลา ไดหมึก หรือพักโฮมสเตย์กับหมู่บ้านชาวประมง
ด้วยความสมบูรณ์แห่งแหล่งท่องเที่ยว เราจึงสามารถท่องเที่ยวเกาะช้างได้ทุกฤดูกาล
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ขนมไทย

ขนมไทย มีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ วิธีการทำ ที่พิถีพิถัน รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสันสวยงาม รูปลักษณ์ชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีที่ประณีตบรรจง
== ประวัติความเป็นมาของขนมไทย บัวลอยเจ้าเพื่อนยาก ทําไมจากข้าเร็วเกินไป
บัวลอยไปอยู่ที่ไหน เคยรู้บ้างไหมโหนกคิดคํานึง ถึงบัวลอย
บัวลอยเขาเป็นชายหนุ่ม ตาเหล่ หลังงุ้ม เด๋อๆ ด๋าๆ
รูปร่างแม้ไม่โสภา จิตใจลํ้าฟ้าดังสมญาบัวลอย เป็นเพื่อนคุยยามเพื่อนว้าเหว่
เป็นพ่อครัวยามเพื่อนหิวโหย เป็นหมอใหญ่ยามเพื่อนโอดโอย หาหยูกยามารักษาบรรเทา บัวลอยถึงวัยเกณฑ์ทหาร พิกลพิการยังดีหนึ่งประเภทสอง
อาสารับใช้ชาติพี่น้อง หัวใจคับพองกล้าหาญอดทน เป็นคนหนักเอาเบาสู้ อุตส่าห์มานะถ่อมตน ช่วยเหลือเพื่อนๆ ทุกคน ร่วมแต่ทุกข์สุขไม่สนใจ
บัวลอยเจ้าเพื่อนยาก ทําไมจากข้าเร็วเกินไป
วันหนึ่งมีเสียงปืนคําราม บัวลอยถูกหามมาในเปลผ้าใบ
ยังละเมอห่วงว่าใครเป็นอะไร คือคําพูดสุดท้ายของชายชื่อบัวลอย ตั้งแต่วันนั้นยันวันนี้ แสงตะเกียงริบหรี่ที่บ้านไร่ปลายดอย ไม่มีชายคนที่ชื่อบัวลอย ความเหงาหงอยค่อยเข้าปกคลุม
โลกนี้ไม่สมประกอบ เพราะบางคนชอบเอาแต่ประโยชน์ส่วนตน
โลกนี้มีสักกี่คน เป็นบัวหลุดพ้นดังคนชื่อบัวลอย (บัวลอย)
โลกนี้ไม่สมประกอบ เพราะบางคนชอบเอาแต่ประโยชน์ส่วนตน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

ดอกกุหลาบ


          กุหลาบนั้นมีชื่อสามัญว่า "Rose" ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า "Rosa hybrids" และมีชื่อวงศ์ว่า"Rosaceae" ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง ลักษณะของกุหลาบนั้นมีทั้งไม้พุ่มและไม้เลื้อย ลำต้นและกิ่งจะมีหนาม ส่วนดอกของกุหลาบจะมีทั้งดอกเดี่ยวและเป็นช่อ กลีบดอกมีลักษณะใหญ่ มีไม่ต่ำกว่า 5 กลีบ กุหลาบนั้นมีกลิ่นหอมชวนดม และมีหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ชมพู ฯลฯ อีกทั้งยังมีหลายชนิดด้วย

          ซึ่งคำว่ากุหลาบนั้นมาจากคำว่า "คุล" ที่ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" โดยในภาษาฮินดีก็มีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" ก็หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า"Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก 





          โดยกุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกมาแต่โบราณ ว่ากันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อ 70 ล้านปีมาแล้ว และเคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ก่อนกุหลาบนั้นเป็นกุหลาบป่าและมีรูปร่างไม่เหมือนในทุกวันนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์จนขยายเป็นพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย 

          ตามประวัติศาสตร์เล่าว่ากุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิ์ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอกส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน เพราะชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมาก แม้ว่าจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังลงทุนสร้างสถานที่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย เพราะสำหรับชาวโรมันแล้วดอกกุหลาบนั้นมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน อีกทั้งชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เป็นทั้งของขวัญ และเป็นดอกไม้สำหรับทำมาลัยต้อนรับแขก รวมถึงเป็นดอกไม้สำหรับงานฉลองต่าง ๆ แถมยังเป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ และยาได้อีกด้วย 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประวัติดอกกล้วยไม้

ประวัติกล้วยไม้[แก้]

กล้วยไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ในวงศ์ Orchidaceae เป็นไม้ตัดดอกยอดนิยม เนื่องจากมีลักษณะดอกและสีสันลวดลายสวยงาม เป็นไม้ตัดดอกที่มีอายุการใช้งานได้นาน กล้วยไม้เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญของไทย เพราะเป็นไม้ส่งออกขายต่างประเทศทำรายได้เข้า ประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท มีการปลูกเลี้ยงอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผสมเกสร เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เลี้ยงลูกกล้ายไม้ เลี้ยงต้นกล้ายไม้จน กระทั่งให้ดอก ตัดดอกบรรจุหีบห่อและส่งออกเอง
แหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าที่สำคัญของโลกมี 2 แหล่งใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ลาตินอเมริกา กับเอเชียแปซิฟิค สำหรับในลาตินอเมริกาเป็น อาณาบริเวณอเมริกากลางติดต่อกับเขตเหนือของอเมริกาใต้ ส่วนแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค มีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง จากการค้นพบประเทศไทยมีพันธุ์กล้วยไม้ป่าเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการเจริญงอกงามของ กล้วยไม้มาก และกล้วยไม้ป่าที่ในพบในภูมิภาคแถบนี้มีลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แตกต่างจากกล้วยไม้ในภูมิภาคลาตินอเมริกา
การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ในประเทศไทย จากการสำรวจในอดีตพบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกล้วยไม้อยู่ในป่าธรรมขาติ ไม่ต่ำกว่า 1,000 ชนิด ทั้งประเภทที่พบอยู่บนต้นไม้ บนพื้นผิวของภูเขาและบนพื้นดิน สรุปได้ว่าสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของประเทศไทยเอื้ออำนวยแก่การเจริญงอกงาม ของกล้วยไม้เป็นอย่างมาก ในอดีตชาวชนบทของไทย โดยเฉพาะในแหล่งที่เคยมีกล้วยไม้ป่าอุดมสมบูรณ์ ได้นำกล้ายไม้ป่ามาปลูกเลี้ยงโดยเลียนแบบธรรมชาติ โดยนำกล้วยไม้มาปลูกไว้กับต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ไกล้ๆ บ้านเรือน การเลี้ยงกล้วยไม้เริ่มเปลี่ยนมาเป็นการปลูกเลี้ยงอย่างจริงจังโดยชาวตะวัน ตกผู้หนึ่ง ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย เห็นว่าสภาพแวดล้อมของประเทศไทยเหมาะสมสำหรับการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ จึงได้สร้างเรือนกล้วยไม้อย่างง่ายๆ และนำเอากล้วยไม้ป่าจากเขตร้อนของอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าแหล่งใหญ่แหล่งหนึ่งของโลก ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากกล้วยไม้ในเอเชียและเอเซียแปซิฟิค โดยนำมาปลูกเลี้ยงเป็นงานอดิเรกในขณะเดียวกันก็มีเจ้านายชั้นสูงและบรรดา ข้าราชการที่ใกล้ชิด ให้ความสนใจเลี้ยงกล้วยไม้เป็นงานอดิเรกเช่นกัน นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มบุคคลสูงอายุซึ่งเลี้ยงกล้วยไม้เพื่อความสุขทางใจ การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ อย่างไรก็ตามการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบ คือ ในกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มผู้มีเงินในยุคนั้น และเป็นการปลูกเลี้ยงที่นิยมกล้วยไม้พันธุ์ต่างประเทศ ส่วนกล้วยไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในป่าของประเทศไทยจะนิยมและยกย่องเฉพาะพันธุ์ ที่หายากและมีราคาแพง
หลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในปี 2475 สภาพการเลี้ยงก็ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบเช่นเดิม แต่ผลงานเกี่ยวกับการผสมพันธุ์กล้วยไม้ในต่างประเทศเริ่มมีอิทธิพลกระตุ้น ให้ผู้เกี่ยวข้องกับวงการกล้วยไม้ในประเทศไทยสนใจกล้วยไม้ลูกผสมมากขึ้น มีการสั่งกล้วยไม้ลูกผสมจากประเทศในทวีปยุโรป สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เพื่อนำเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทย การพัฒนาการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ เป็นไปอย่างจริงจัง เมื่อประมาณปี 2493 โดยได้มีการวิจัย นับตั้งแต่การรวบรวมปลูกในระดับพื้นฐาน ต่อมาในปี 2497 ได้เริ่มเปิดการฝึกอบรมการเลี้ยงกล้วยไม้ให้แก่ประชาชนผู้สนใจทั่วไป และมีการจัดตั้งชมรมกล้วยไม้ขึ้นในปี 2498 ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมาคมกล้วยไม้เมื่อปี 2500 และในปีเดียวกันนี้ ได้เริ่มมีการนำเอาความรู้ในเรื่องกล้วยไม้และแนวความคิดในการพัฒนาวงการ กล้วยไม้ออกเผยแพร่ทั้งทางโทรทัศน์และวิทยุ และมีการผลิตเอกสารสิ่งพิมพ์เผยแพร่ ทำให้วงการกล้วยไม้ของประเทศไทย ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งมีการจัดตั้งสมาคมและสโมสรเกี่ยวกับกล้วยไม้ขึ้นในภาคและจังหวัด ต่างๆ ในปี 2501 ได้มีการเปิดการสอนวิชากล้วยไม้ขึ้นในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นครั้งแรก เพื่อผลิตนักวิชาการและพัฒนางานวิจัยกล้วยไม้ของประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ไม่ได้จำกัดอยู่ภายในวง แคบอีกต่อไป จากการส่งเสริมดังกล่าว ทำให้มีการนำเข้ากล้วยไม้ลูกผสมจากต่างประเทศ เช่น จากฮาวายและสิงคโปร์จำนวนมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ที่มีความรู้หันมารวบรวมพันธุ์ผสมและเพาะพันธุ์จากพ่อแม่พันธุ์ใน ประเทศ ทั้งที่เป็นพ่อแม่พันธุ์จากป่า และลูกผสมที่สั่งเข้ามาแล้วในอดีต ปี 2506 วงการกล้วยไม้ของไทยได้เริ่มมีแผนในการขยายข่ายงานออกไปประสานกับวงการกล้วย ไม้สากล เพื่อยกระดับวงการกล้วยไม้ในประเทศให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ ปี 2509 เริ่มการทำสวนกล้วยไม้ตัดดอกอย่างจริงจัง เมื่อไทยเริ่มส่งออกกล้วยไม้ไปสู่ตลาดต่างประเทศในยุโรปตะวันตก เช่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เนเธอร์แลนด์ และอิตาลี ต่อมาจึงขยายตลาดไปสู่ประเทศญี่ปุ่น แคนาดา และบางรัฐของสหรัฐอเมริกา.

นิทานหมาป่ากับลูกแกะ

นิทานหมาป่ากับลูกแกะ

นิทานหมาป่ากับลูกแกะ


นิทานหมาป่ากับลูกแกะ (นิทานก่อนนอน)

วันหนึ่งลูกแกะน้อยกำลังเดินอย่างเพลิดเพลิน
มันเดินไปเรื่อย ๆ จนมาถึงลำธารแห่งหนึ่ง
แหมวันนี้อากาศดีจริง ๆ เลย แอบหนีแม่มาเดินเล่น
ป่านนี้แม่คงจะตามหาแกะน้อยใหญ่แล้วหละ
เดี๋ยวค่อยกลับบ้านเย็น ๆ ก็แล้วกัน
แต่ตอนนี้หิวน้ำจังเลย ขณะที่เจ้าแกะน้อยกำลังก้มกินน้ำอยู่นั้น

บังเอิญมีหมาป่าตัวนึงเดินเข้ามาเจอพอดี เจ้าหมาป่านิสัยไม่ดี
และมันกำลังหิวมากซะด้วยสิ พอมันเห็นลูกแกะตัวเล็ก ๆ เข้า
ก็อยากจะจับลูกแกะกินเป็นอาหาร มันจึงคิดอุบาย

นี่เจ้าแกะน้อยเจ้ามีความผิดมากเลยรู้หรือป่าว
คุณหมาป่า ข้าผิดเรื่องอะไรเหรอ
แกะน้อยก็กินน้ำอยู่ดี ๆ ยังไม่ได้ทำอะไรท่านเลย
ก็เจ้ากินน้ำอยู่ และข้าก็กินน้ำอยู่ตรงนี้
เจ้าทำให้น้ำในลำธารขุ่นข้นไปหมด ข้าดื่มเข้าไปไม่ได้
ดังนั้นเจ้าต้องถูกลงโทษ

แต่ว่าคุณหมาป่าดูดี ๆ ก่อนสิ ท่านหนะกินน้ำที่ต้นน้ำนะ
และอย่างงี้แกะน้อยจะทำน้ำขุ่นข้นได้ยังไง
ข้าบอกว่าเจ้าผิด เจ้าก็ต้องผิด
ฉันไม่ผิดจะให้ยอมรับผิดได้ยังไง คุณหมาป่าไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
เจ้าหมาป่าโกรธจัด จึงหาอุบายอื่นอีก



เมื่อปีกลายเจ้าเป็นผู้เล่านิทานกล่าวร้ายข้าเอาไว้

เจ้าเป็นผู้มีความผิดต้องถูกลงโทษ
ฉันไปกล่าวร้ายท่านได้ยังไง ฉันเพิ่งเกิดมาไม่เมื่อกี่เดือนนี้เอง
งั้นคงจะเป็นพี่เจ้า มาให้ข้ากินซะดี ๆ
คุณหมาป่าคงจำผิดแล้ว ข้าเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง
โอ้ยข้าไม่สนใจและ แต่ตอนนี้ข้าหิวจนตาลายไปหมดแล้ว
เจ้าต้องตกเป็นอาหารของข้า

ว่าแล้วเจ้าหมาป่าอันธพาลก็กระโจนใส่แกะน้อยเพื่อจับกินเป็นอาหาร
เจ้าแกะน้อยวิ่งหนีและร้องเรียกแม่ลั่นป่า
ทันใดนั้นสิงโตเจ้าป่าก็กระโดดมาบังแกะน้อยไว้

หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้าหมาป่า อย่าทำแกะน้อยไม่มีทางสู้ตัวนี้นะ
ถ้าเจ้าหมาป่าไม่ยอมไป ข้าสิงโตนี่แหละจะจับเจ้ากินเอง
เจ้าหมาป่ากลัวจึงจากไป ฝ่ายเจ้าแกะน้อยก็ร้องไห้ไม่หยุด
เงียบได้แล้วเจ้าหมาป่ามันวิ่งหนีไปแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้วหละ

ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน บ้านเจ้าอยู่ที่ไหน
แกะน้อยหนีแม่ออกมาเดินเล่น นี่คือโทษที่เจ้าไม่บอกผู้ใหญ่ก่อน
แกะน้อยจะไม่หนีไปเที่ยวอีกแล้วจ้า ขอบคุณท่านมาก
และแล้วสิงโตก็พาแกะน้อยไปส่งที่บ้าน

หลังจากนั้นแกะน้อยไม่หนีออกไปไหนไกล ๆ อีกเลย
และมันก็จะขออนุญาติผู้ใหญ่ทุกครั้งก่อน

นิทานอีสป

เด็กเลี้ยงเเกะ
วันหนึ่งเด็กเลี้ยงเเกะคิดหาเรื่องสนุกๆ เล่น จึงเเกล้งร้องตะโกน ขึ้นมาว่า

"ช่วยด้วย! หมาป่ามากินลูกเเกะเเล้ว ช่วยด้วยจ้า ! "

พวกชาวบ้านจึงพากันวิ่งมาช่วยพร้อมด้วยอาวุธต่างๆ เเต่เมื่อมาถึงก็ไม่พบหมาป่าสักตัว

"มันวิ่งไปทางโน้นเเล้วล่ะ"

เด็กเลี้ยงเเกะโป้ปดเเล้วก็เเอบหัวเราะชอบใจภายหลัง

ต่อจากนั้นเด็กเลี้ยงเเกะก็เเกล้งหลอกให้ชาวบ้านวิ่งหน้าตื่น เช่นเดิมได้อีก ๒- ๓ ครั้ง

จนกระทั่งวันหนึ่งมีหมาป่ามาไล่กินเเกะจริงๆ คราวนี้เด็กเลี้ยงเเกะ ตะโกนขอความช่วยเหลือจนคอเเหบ คอเเห้ง พวกชาวบ้านก็ไม่มาเพราะคิดว่าเด็กหลอก


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนที่มักโป้ปดมดเท็จ เมื่อถึงคราวพูดจริงก็ยากที่จะมีใครเชื่อ

ดอกมะลิ

  ดอกไม้ดอกเล็ก ๆ สีขาวบริสุทธิ์ที่มีกลิ่นหอมชวนดมอย่าง "ดอกมะลิ" ถูกนำมาใช้เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ "วันแม่" เพราะดอกมะลิเปรียบเสมือนความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีให้ลูกน้อยไม่มีวันเสื่อมคลาย เหมือนกับความหอมของดอกมะลิที่หอมนาน และออกดอกตลอดทั้งปี นอกจากนี้ คนไทยยังนิยมนำดอกมะลิมาร้อยมาลัยบูชาพระ ดังนั้น ดอกมะลิ จึงเปรียบเสมือนการบูชาแม่ผู้มีพระคุณของลูก ๆ ทุกคน

          อย่างไรก็ตาม ดอกมะลิ ดอกไม้ไทยแท้ชนิดนี้ ไม่ได้มีดีแค่ความหอม หรือนำไปร้อยมาลัย แต่ยังเป็นดอกไม้ที่มีประโยชน์อีกมากมาย รวมทั้งแฝงไว้ด้วยสรรพคุณทางยาในการช่วยบำบัดและรักษาอาการเจ็บป่วยได้อย่างดีเยี่ยมโดยที่เราคาดไม่ถึง

          คงนึกไม่ถึงใช่ไหมล่ะ ว่า ดอกมะลินี้มีอะไรดี ๆ มากกว่าที่เห็น ๆ กัน อย่างนั้นก็ต้องแนะนำให้รู้จักกันหน่อยแล้ว



ดอกมะลิ

          ดอกมะลิ  เป็นไม้ดอกไม้ประดับที่มีกลิ่นหอมเย็นใจให้ความรู้สึกสุขสงบ มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Jasmine ส่วนชื่อทางภาษานักพฤกษศาสตร์ที่ใช้เรียกขานกัน คือ Jasminum sambac (L.) Ait. เป็นพืชในวงศ์  Oleaceae ส่วนบ้านเราไม่ว่าจะเป็นภาคใด ที่ไหนก็เรียกว่า ดอกมะลิ
 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

          
เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กที่มีความสูงไม่มากนัก สูงอย่างเต็มที่ส่วนใหญ่ไม่เกิน 2 เมตร ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ดอกมะลิได้รับความนิยมจากคนรักต้นไม้ให้เป็นตัวเลือกแรกที่จะปลูกไว้ในบ้าน มะลิเป็นไม้พุ่มที่แตกแขนงกิ่งก้านสาขาออกมามากมาย กิ่งอ่อนจะมีขนสั้น ๆ นุ่มมือ ใบเป็นแบบใบเดี่ยวออกในลักษณะตรงข้ามกัน ใบค่อนข้างกลม ปลายใบมน สีเขียวเข้ม ดอกเป็นแบบดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อก็ได้ โดยแต่ละช่อมี 2-3 ดอก กลีบเลี้ยงเป็นหลอดสีขาว กลีบดอกสีขาวนวลตา กลิ่นหอมอวล ไม่ฉุนจัดจนเกินไป เลี้ยงง่าย เติบโตไว ไม่ต้องการความเอาใจใส่ หรือต้องดูและอะไรเป็นพิเศษ

ดอกมะลิ

ดอกมะลิ

 คุณค่าและคุณประโยชน์

         
คนสมัยก่อน นอกจากจะนิยมปลูกดอกมะลิเอาไว้เป็นไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อชื่นชมกับดอกสีขาวสวยนุ่มนวลชวนมองแล้ว เขายังเก็บดอกมะลิตูมมาใส่พาน หรือถ้ามีเวลาว่างพอก็จะนำมาร้อยเป็นมาลัยกราบบูชาพระอีกด้วย  กลิ่นหอมอ่อน ๆ อบอวลของดอกมะลิที่อยู่ในห้องพระ ให้ความรู้สึกสงบใจอีกต่างหาก

          นอกจากนี้ยังนำดอกมะลิมาลอยในน้ำดื่มเย็น ๆ ให้แขกผู้มาเยือนได้ดื่มกันอย่างชื่นอกชื่นใจ หรือจะนำดอกมะลิไปลอยในน้ำเชื่อมกินกับขนมหวานไทย ก็ทำให้มีกลิ่นหอมชวนทาน แต่ทั้งนี้ต้องมั่นใจว่า ดอกมะลิที่นำมาใช้ไม่ได้ฉีดยาฆ่าแมลง

          ส่วนประโยชน์ทางสมุนไพรของมะลิก็มีแทบทุกส่วนก็ว่าได้ ไล่กันไปตั้งแต่รากเรื่อยไปจนถึงดอกทีเดียว  รากของมะลิแก้ได้สารพัดโรค ทั้งปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก เลือดออกตามไรฟัน รวมทั้งช่วยรักษาหลอดลมอักเสบได้ด้วย หากนำรากมาฝนกินกับน้ำ แก้ร้อนในได้ดี คนที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับทรวงอก ให้นำรากมาประมาณ 1-1.5 กรัม ต้มน้ำกินก็ช่วยได้

         
ส่วนใบใช้แก้ไข้ที่เกิดจากอาการเปลี่ยนแปลงได้ดี รวมทั้งรักษาอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องเสีย หากนำใบมาตำแล้วละลายกับน้ำปูนใส แต้มแผลฟกช้ำ แผลเรื้อรัง โรคผิวหนังจะหายไวขึ้น ตลอดจนช่วยบำรุงสายตา และขับน้ำนมสตรีที่มีครรภ์ได้ด้วย

         
สุดท้ายคือส่วนของดอก ดอกมะลิ นอกจากความสวยและความหอมแล้ว ยังแก้โรคบิด อาการปวดท้อง หากตำให้ละเอียดพอกที่ขมับ แก้อาการปวดหัวและปวดหูชั้นกลางได้ แถมยังช่วยรักษาแผลพุพอง แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย รวมทั้งเป็นยาบำรุงหัวใจได้อย่างดีเยี่ยมอีกขนานหนึ่งด้วย

ดอกดาวเรือง

 
      ดาวเรือง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Tagetes erecta L.; ชื่อสามัญ: Marigold) คำปู้จู้ คำปู้จู้หลวง (พายัพ) บ่วงสิ่วเก็ก เฉาหู้ยัง กิมเก็ก (จีน) ดาวเรืองนิยมปลูกตัดดอก เป็นดาวเรืองในกลุ่ม African หรือ American marigold เป็นพันธุ์ดอกใหญ่ พันธุ์ที่ใช้เป็นการค้าในประเทศไทยได้แก่พันธุ์ซอเวอร์เรน (soverign) นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ใหม่ๆที่นำเข้ามาได้แก่ พันธุ์จาไมก้า (jamaica) และอื่นๆ อีกหลายพันธุ์
 
      ดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่คนไทยนิยมปลูกกันมาก เนื่องจากเมล็ดมีขนาดใหญ่ปลูกง่าย งอกเร็ว ต้นโตเร็ว และแข็งแรงไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน ให้ดอกเร็ว ดอกดก มีหลายชนิและหลายสี รูปทรงของดอกสวยงาม สีสันสดใส บานทนนานหลายวัน สามารถปักแจกันได้นาน 1-2 สัปดาห์ ให้ดอกในระยะเวลาสั้น คือ ประมาณ 60-70 วัน หลังปลูก ดังนั้นในการปลูกดาวเรืองสามารถกำหนดระยะเวลาการออกดอกให้ตรงกับเทศกาลสำคัญได้จึงมีผู้นิยมปลูก และใช้ดาวเรืองกันมาก นอกจากนี้ยังสามารถปลูกได้ตลอดปี และปลูกได้ทุกจังหวัดในประเทศไทย ดาวเรืองเป็นไม้ดอกที่ทำรายได้ให้กับผู้ปลูกสูง ในปัจจุบันการปลูกดาวเรืองนอกจากปลูกเพื่อตัดดอกขายแล้ว ยังนิยมปลูกในกระถางหรือถุงพลาสติก เพื่อประดับตกแต่งอาคารสถานที่ และปลูกเพื่อตัดดอกส่งโรงงานอาหารสัตว์อีกด้วย
 
     การปลูกดาวเรืองในประเทศไทย เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ทราบเพียงว่าดาวเรืองไม่ได้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย แต่มีการนำเข้าพันธุ์ดาวเรืองจากต่างประเทศมาปลูกเป็นเวลานานจนสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในประเทศไทยได้ดี มีการกระจายตัวขอสายพันธุ์มากทั้งทางด้านรูปทรงดอก ขนาดดอก ลักษณะการเจริญเติบโต ตลอดจนการต้านทานต่อโรคและแมลง ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกดาวเรืองประมาณ 4,000 ไร่ มีแหล่งปลูกทีสำคัญ คือ จังหวัดพะเยา ลำปาง นนทบุรี กรุงเทพฯ ราชบุรี สมุทรสาคร สุพรรณบุรี และอุดรธานี
 
 
ดอกดาวเรืองชนิดต่างๆ

ชนิดของดาวเรือง


   ดาวเรืองที่ปลูกกันอยู่โดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

   1. ดาวเรืองอเมริกัน (American Marigolds) เป็นดาวเรืองที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกา ลำต้นสูงตั้งแต่ 10-40 นิ้ว ดอกสีเหลือง ส้ม ทอง และขาว กลีบ ดอกซ้อนกันแน่น ดอกมีขนาดใหญ่ประมาณ 3-4 นิ้ว ดาวเรืองชนิดนี้มีหลายพันธุ์ ได้แก่

      พันธุ์เตี้ย สูงประมาณ 10-14 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ ปาปาย่า (papaya) ไพน์แอปเปิล (pineaple) ปัมพ์กิน (Pumpkin) เป็นต้น

      พันธุ์สูงปานกลาง สูงประมาณ 14-16 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์อะพอลโล (Apollo) ไวกิ่ง (Ziking) มูนช๊อต (Moonshot) เป็นต้น

      พันธุ์สูง สูงประมาณ 16-36 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ดับเบิล อีเกิล (Double Egle) ดับบลูน (Doubloon) ซอฟเวอร์เรน (Sovereign) เป็นต้น

   2. ดาวเรืองฝรั่งเศส (French Marigolds) ดาวเรืองฝรั่งเศสเป็นดาวเรืองต้นเล็ก ต้เป็นพุ่มเตี้ย ๆ สูงประมาณ 6-12 นิ้ว ดอกสีเหลือง ส้ม ทอง น้ำตาลอมแดง และสีแดง ดอกมีขนาดเล็กประมาณ 1.5 นิ้ว นิยมปลูกประดับในแปลงมากกว่าปลูกเพื่อตัดดอก เนื่องจากมีก้านดอกสั้น นอกจากนี้ยังเป็นดาวเรืองที่สามารถลดปริมาณไส้เดือนฝอยที่ทำให้เกิดอาการรากปมในรากพืชได้ ตัวอย่างดาวเรืองฝรั่งเศส ได้แก่

    พันธุ์ดอกชั้นเดียว ดอกมีขนาด 1.5-2 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์เรด มาเรตต้า (Red Marietta) นอธตี้ มาเรตต้า (Naughty Marietta) เอสปานา (Espana) ลีโอปาร์ด (Leopard) เป็นต้น

    พันธุ์ดอกซ้อน ดอกมีขนาดตั้งแต่ 1.5-3 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ควีน โซเฟีย (Queen Sophia ) สการ์เลต โซเฟีย (Scarlet Sophia) โกลเด้น เกต (Golden Gate ) เป็นต้น
   3. ดาวเรืองพันธุ์ลูกผสม (Mule Mariglds หรือ Afro American Marigolds) เป็นดาวเรืองลูกผสมระหว่างดาวเรืองอเมริกันและดาวเรืองฝรั่งเศส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำลักษณะความแข็งแรง ดอกใหญ่ และมีกลีบซ้อนมากของดาวเรืองอเมริกัน รวมเข้ากับลักษณะต้นเตี้ยทรงพุ่มกะทัดรัดของดาวเรืองฝรั่งเศส ดาวเรืองลกผสมให้ดอกเร็วมาก คือเพียง 5 สัปดาห์หลังจากเพาะเมล็ดดอกมีขนาด 2-3 นิ้ว ดอกดกและอยู่กับต้นได้ดี ดาวเรืองชนิดนี้มีข้อเสียก็คือเมล็ดจะลีบ ไม่สามารถนำมาเพาะให้เป้นต้นใหม่ได้จึงเรียกว่า ดาวเรืองล่อ เช่นเดียวกับการผสมม้ากับลา มีลูกออกมาเรียกว่า ล่อ ซึ่งเป็นหมัน จึงทำให้เมล็ดมีราคาแพงมาก และการปลูกดาวเรืองด้วยเมล็ดชนิดนี้ จึงควรใช้เมล็ดเป็นปริมาณ 2 เท่าของจำนวนที่ต้องการ เนื่องจากเมล็ดมีเปอร์เซ็นต์ความงอกต่ำ

    ดาวเรืองลูกผสมที่นิยมปลูกมีอยู่หลายพันธุ์ คือ พันธุ์นักเก็ต (Nugget) ไฟร์เวิร์ก (Fireworks) เรด เซเว่น สตาร์ (Red Sevenstar) และโชว์โบ๊ต (Showboat)
 

การขยายพันธุ์ดาวเรือง


       ทำได้โดยการใช้เมล็ดและการปักชำ แต่วิธีที่นิยมทำคือ การใช้เมล็ด เพราะได้จำนวนมากกว่า โดยนำเมล็ดดาวเรืองมาเพาะในกระบะเพาะ ซึ่งมีวัสดุเพาะ คือ ขุยมะพร้าว ทราย  ขี้เถ้าแกลบ ปุ๋ยคอก ในอัตราส่วน 1:1:1:1 หรือแปลงเพาะที่มีดินร่วนซุยค่อนข้างละเอียด คราดดินให้ผิวดินเรียบสม่ำเสมอ ทำร่องบนกระบะเพาะหรือแปลงเพาะให้ลึกประมาณ 0.5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร แต่ละร่องห่างกัน 5 เซนติเมตร หยอดเมล็ดลงร่องห่างกัน 1-2 นิ้ว แล้วกลบแต่ละร่องด้วยวัสดุเพาะ หรือดินละเอียดเพียงบางๆ รดน้ำด้วยฝักบัวฝอยให้ชุ่ม แล้วคลุมกระบะเพาะด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ หรือคลุมแปลงเพาะด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง  ควรรดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เพื่อรักษาความชื้น เมล็ดดาวเรืองจะงอกภายใน 3-5 วัน เป็นต้นกล้า